ทำไมจึงได้ชื่อว่า “โรงพัก”
เครดิตจาก
ร.ต.อ.สี่ทิศ อ่ำถนอม
● เคยมีสาวคอสตาริกา เล่าถึงการเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมของประเทศเธอให้ผมฟัง ระหว่างที่ผมกับลูกน้องกำลังเดินทางกลับจากแม่ฮ่องสอนมายังอำเภอปาย จำได้ว่าตอนนั้นผมมีภารกิจต้องไปเป็นพยานศาลในคดีเกี่ยวกับเยาวชน และวันนั้นมีตำรวจท่องเที่ยวที่สนิทกันคนนึงมาขอให้เธอติดรถตู้ของตำรวจปายไปทำธุระที่แม่ฮ่องสอนด้วย ขาไปยังเก๊กๆใส่กันอยู่ แต่เมื่อต้องชวนเธอกินข้าวกลางทางในตอนขากลับก็ดูเหมือนว่าภาษาอังกฤษกากๆของผม เพียงพอที่จะทำให้เธอรู้สึกว่ามีเพื่อนคุยบ้าง
● ในรถ เธอเล่าว่าถึงแม้หน้าตาของเธอจะเหมือนชาวตะวันตก แต่น้องสาวแท้ๆของเธอกลับหน้าตาเหมือนคนพื้นเมือง และความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นในสายเลือดเดียวกันเป็นเรื่องปกติของคนในอเมริกากลาง จริงๆแล้วไม่มีความจำเป็นที่เธอจะต้องพูดเรื่องนี้ขึ้นมาหรอกครับ หากว่าลูกน้องของผมคนนึงไม่ได้พยายามอธิบายให้เธอฟังว่าชาวเขาที่ขายของอยู่ที่ข้างทางนั้นไม่ใช่คนไทย (หมายถึงคนไทยโดยถูกต้องตามกฎหมาย) ผมเข้าใจเจตนาของเธอที่พยายามชี้ชวนให้ผมและคนอื่นๆที่ฟังเธอ(ออก)เห็นว่าความสังคมที่อยู่ร่วมกันด้วยความหลากหลายเป็นสิ่งที่งดงาม แต่ก่อนที่เรื่องของชาวเขาจะทำให้ชาวเราคุยกันไม่ถูกคอ ผมก็รีบแย่งบอกเธอว่าจริงๆแล้วคนไทยอยู่แบบผสมผสานมาตั้งแต่เริ่มสร้างชาติเมื่อประมาณเกือบพันปีก่อนนู่นแล้วล่ะ
● “คนไทยเกิดมาพูดได้ 3 ภาษานะ” ผมพูดจบ เธอเลิกคิ้วสงสัยพร้อมกับบอกว่าที่คอสตาริกาพูดภาษาสเปนเป็นหลัก และไม่ใช่ทุกคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ ผมบอกต่อไป “คนไทยพูดภาษาไทยกับคนทั่วไป พูดภาษาอินเดียโบราณกับพระ และพูดภาษาขอมโบราณกับราชวงศ์” เธอทำหน้าตาตื่นเต้นพร้อมกับควาญหาสมุดพกปากกาขึ้นมาจดอย่างสนใจ ลูกน้องของผมคนหนึ่งพยักหน้าหงึกๆ
● ความเคยชินทำให้เราหลงลืมไปว่าแท้จริงจริงๆแล้ว ภาษาไทยที่เราใช้พูด ใช้สื่อสารกันอยู่ทุกวันนี้ล้วนแล้วแต่ผสมขึ้นจากคำในภาษาอื่น (แม้แต่คำว่า ผสม ก็ยังเป็นคำที่มาจากภาษาขอม) และหลายครั้งที่ความเคยชินทำให้เรามองข้ามหรือไม่สนใจที่มาของสิ่งต่างๆรอบตัวจนไม่เห็นคุณค่า
● สิ่งหนึ่งที่ผมเคยสงสัยมาตั้งแต่เด็ก คือการที่ใครๆ ต่างก็เรียกสถานีตำรวจว่า “โรงพัก” ทั้งๆที่หน้าตามันก็ไม่ได้น่าเข้าไปเช็คอินเลยแม้แต่น้อย “โรง” คำนี้เข้าใจ ... โรงก็คือโรง คือสถานที่ที่เอาไว้ทำอะไรๆตามคำที่ตามหลังมันมา โรงเรียนเอาไว้เรียน โรงพยาบาลเอาไว้พยาบาล โรงเจเอาไว้กินเจ โรงแรมเอาไว้ค้างแรม แต่โรงพัก...ไม่มีใครเอาไว้พัก แน่นอน “พัก” คือ พัก ... แล้วทำไมต้องโรงพัก
● โรงพัก คือ สถานที่ที่เป็นศูนย์รวมของความขัดแย้ง ตั้งแต่เรื่องเล็กๆอย่างด่ากันไปจนถึงฆ่ากัน บางคนจะตกลงอะไรกันแล้วกลัวว่าอีกฝ่ายจะเล่นไม่ซื่อ เพียงแค่พากันมาลงบันทึกประจำวันที่โรงพักก็เป็นอันสบายใจ ในปัจจุบันนอกจากการเรียกสถานีตำรวจว่าโรงพักแล้ว หลายครั้งที่ผมได้ยินคำว่า “สน.” ซึ่งอันที่จริงแล้วตามระเบียบหมายถึง “สถานีตำรวจนครบาล” (ตำรวจกรุงเทพ) แต่ไม่ว่าจะอยู่ในท้องที่ห่างไกลกันดารภูธรขนาดไหน ก็ยังมีคนเรียก “สถานีตำรวจภูธร” (สภ.) ว่า “สน.” อยู่ดี
● ช่วงนี้เห็นผู้ใหญ่เค้าประชุมๆกัน จะทำอะไรกับตำรวจเยอะแยะ จะยุบบ้าง จะโยกบ้าง จะย้ายบ้าง ทั้งนี้ทั้งนั้นผมเชื่อว่าก็ไม่ใช่เพื่อใครหรอกครับ เพื่อประชาชนนั่นแหล่ะ (ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆอ่ะนะ) ผมยังเชื่อมั่นว่าแม้ตำรวจจะถูกกระทำย่ำยีให้ป่นปี้ฉิบหายอย่างไรในอนาคตอันใกล้ แต่พลังแฝงแห่งความเคยชินของคนในชาติก็จะไม่มีวันทำให้คำว่า “โรงพัก” หรือ “สน.” หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ได้ง่ายๆ นัก ทุกครั้งที่มีเรื่อง คุณคงรู้สึกถูกที่ถูกทางมากกว่าหากจะขึ้น สน.
● แต่หากการเปลี่ยนแปลงมันเป็นไปในทิศทางที่เลวร้ายที่สุดเกินกว่าผมจะคาดถึง แม้ในวันนั้นสถานีตำรวจ โรงพัก หรือ สน. จะต้องถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็นอะไรก็ช่าง ถ้าคุณต้องขึ้นตึกอื่นเพื่อแจ้งความ แล้วมันไม่มีใครสนใจหรือคุณไม่เคยชิน ขอให้เรียกหาข้าราชการกลุ่มหนึ่งที่เคยทำงานอยู่บน “สน.” เชื่อผมเถอะ เขาพวกนั้น ‘สน’ คุณเสมอ แม้ว่าในตอนนั้นพวกเขาอาจจะยังไม่ค่อยชินกับสถานะใหม่ ที่ไม่ได้เป็นตำรวจเหมือนอย่างเคยแล้วก็ตาม แต่อย่างน้อยที่สุดการให้บริการคุณและใส่ใจความทุกข์ร้อนของคุณก็เป็นสิ่งแรกๆที่พวกเขา ‘เคย - ชิน’
เครดิตจาก
ร.ต.อ.สี่ทิศ อ่ำถนอม
ร้านข้าราชการไทย
๒๘ มีนาคม ๒๕๕๘